เมื่อพูดถึงการโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) Google Ads (เดิมเรียกว่า AdWords) และ Facebook Ads เป็นสองยักษ์ใหญ่ที่ขาดไม่ได้สำหรับการขับเคลื่อนทราฟฟิกและยอดขายให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
Google Ads เข้าถึง ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 90% ทั่วโลก ในขณะที่ Facebook Ads มีจำนวนผู้ใช้งานมากถึง 3.065 พันล้านคน ต่อเดือน
ถึงแม้ว่าช่องทางเหล่านี้จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีข้อได้เปรียบและความท้าทายที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น อัตราการคลิกผ่าน (CTR) เฉลี่ยของ Google Ads อยู่ที่ 3.17% สำหรับการค้นหา ในขณะที่ Facebook Ads มี CTR เฉลี่ยอยู่ที่ 0.9%
เมื่อเวลาหรือทรัพยากรมีจำกัด การพิจารณาว่าแพลตฟอร์มใดจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงสุดและช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นสิ่งที่สำคัญ
ถึงแม้ว่าทั้งสองแพลตฟอร์มจะมีบางจุดที่คล้ายคลึงกัน แต่ความแตกต่างก็มีความสำคัญและไม่สามารถมองข้ามได้
ในคู่มือนี้ เราจะสำรวจความแตกต่างหลักระหว่าง Google Ads และ Facebook Ads และวิธีที่การระบุแหล่งที่มาอย่างแม่นยำสามารถช่วยคุณเลือกช่องทางที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณได้
มาเริ่มกันเลย!
มาเริ่มกันเลย!
Google Ads คืออะไร?
Google Ads เป็นแพลตฟอร์มโฆษณาแบบชำระเงินของ Google ซึ่งช่วยให้นักการตลาดอีคอมเมิร์ซสามารถเสนอราคาเพื่อแสดงโฆษณาในผลลัพธ์การค้นหาและในเครือข่ายที่กว้างขวางของเว็บไซต์ที่ไม่ใช่การค้นหา แอปมือถือ และวิดีโอ
แพลตฟอร์มนี้มีชื่อเสียงในด้านความมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงผู้ใช้ที่มีความตั้งใจสูง เนื่องจากมันมุ่งเป้าไปที่บุคคลที่กำลังค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะอย่างอยู่แล้ว
คุณสมบัตินี้ทำให้ Google Ads เป็นเครื่องมือหลักสำหรับการตลาดแบบดึงดูด โดยที่ลูกค้าที่มีศักยภาพจะถูกดึงดูดเข้ามาตามพฤติกรรมการค้นหาของพวกเขา
ด้วยคุณสมบัติเช่นการกำหนดเป้าหมายคีย์เวิร์ดอย่างแม่นยำและการวิเคราะห์ประสิทธิภาพอย่างละเอียด ธุรกิจสามารถติดตามและปรับปรุงแคมเปญโฆษณาเพื่อเพิ่ม ROI ให้สูงสุด
โดยการรวม Google Ads กับเครื่องมือเช่น Google Analytics คุณสามารถได้รับข้อมูลเชิงลึกแบบครอบคลุมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแคมเปญของคุณ เพื่อให้มั่นใจในวิธีการโฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
Meta Ads คืออะไร?
Meta Ads เป็นแพลตฟอร์มโฆษณาขั้นสูงที่ Meta นำเสนอ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างโฆษณาที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ปรากฏในระบบนิเวศของ Meta เช่น Facebook, Instagram และ Messenger
Meta Ads มีชื่อเสียงในด้านความสามารถในการกำหนดเป้าหมายผู้ชม ทำให้นักธุรกิจ eCommerce สามารถเข้าถึงผู้ใช้ตามกลุ่มประชากร ความสนใจ และพฤติกรรมได้
สิ่งนี้ทำให้ Meta Ads เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการตลาดแบบผลักดัน โดยที่โฆษณาจะถูกแสดงให้ผู้ใช้เห็นอย่างเชิงรุก แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้ค้นหาอย่างตั้งใจก็ตาม แต่มีแนวโน้มที่จะสนใจ
แพลตฟอร์มนี้รองรับรูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย เช่น รูปภาพ วิดีโอ และแถบเลื่อน ทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้สำหรับวัตถุประสงค์ทางการตลาดต่างๆ
ธุรกิจต่างๆ เริ่มทดลองใช้โฆษณาบน Facebook เทียบกับ Instagram มากขึ้น โดยตระหนักว่าคุณภาพของกลุ่มผู้ชมมักจะดีกว่าบน Instagram แนวโน้มนี้เน้นความสำคัญของการเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมภายในระบบนิเวศของ Meta เพื่อเพิ่มผลกระทบให้สูงสุด
ด้วยการเข้าถึงที่กว้างขวางและการกำหนดเป้าหมายขั้นสูง Meta Ads ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มการรับรู้แบรนด์และกระตุ้นการมีส่วนร่วม ทำให้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในคลังอาวุธของนักการตลาด
ความแตกต่างระหว่าง Google Ads และ Facebook Ads
ตอนนี้เรารู้แล้วว่า Google Ads และ Facebook Ads มีข้อดีในด้านไหนบ้าง — แต่ความแตกต่างยังไม่ชัดเจน ก่อนที่เราจะไปเลือกช่องทางที่ดีที่สุด คุณจำเป็นต้องเข้าใจว่าทั้งสองแตกต่างกันอย่างไร
นี่คือความแตกต่างสำคัญบางประการระหว่างโฆษณา Google และ Facebook:
1. การใช้จ่ายโฆษณาหรืองบประมาณ
Facebook Ads มีการตั้งงบประมาณที่ยืดหยุ่น ช่วยให้คุณควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีขนาดงบประมาณหลากหลาย ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่
ในทางตรงกันข้าม ค่าใช้จ่ายใน Google Ads อาจคาดเดาไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการแข่งขันสูงสำหรับคำค้นหาที่ต้องการงบประมาณมากขึ้น
แม้ว่าทั้งสองแพลตฟอร์มจะมีคุณค่าในการใช้ แต่การจัดการต้นทุนอาจง่ายกว่าใน Facebook Ads
2. การกำหนดเป้าหมาย
Facebook Ads มีความโดดเด่นในการใช้ข้อมูลผู้ใช้ที่กว้างขวางเพื่อกำหนดเป้าหมายอย่างแม่นยำ และด้วยการกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำนี้ คุณสามารถสร้างประสบการณ์โฆษณาที่เกี่ยวข้องอย่างมากกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจง
ในทางกลับกัน Google Ads อาศัยการกำหนดเป้าหมายตามคำค้นหา ซึ่งหมายความว่าคุณจะเข้าถึงผู้ใช้ที่มีความตั้งใจในการค้นหาเฉพาะเจาะจง วิธีการนี้มีประสิทธิภาพเป็นพิเศษในการจับกลุ่มลูกค้าที่พร้อมจะซื้อ ทำให้ Google Ads เป็นช่องทางที่มีพลังสำหรับแคมเปญตอบสนองโดยตรง
3. การวางตำแหน่งโฆษณา
Facebook Ads มีการวางตำแหน่งโฆษณาที่หลากหลายภายในระบบนิเวศของ Facebook รวมถึง Instagram และ Messenger ซึ่งช่วยเพิ่มการมองเห็นและโอกาสในการมีส่วนร่วม การวางตำแหน่งเหล่านี้เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้แบรนด์และส่งเสริมการมีส่วนร่วม
ในทางกลับกัน Google Ads มีตัวเลือกการวางตำแหน่งที่หลากหลายในเครือข่ายของ Google รวมถึงผลการค้นหา YouTube และเครือข่ายโฆษณาแบบดิสเพลย์ ความหลากหลายนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงผู้ใช้ในระหว่างขั้นตอนต่างๆ ของการท่องเว็บ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของแคมเปญ
4. เจตนาของลูกค้า
Facebook Ads ถูกออกแบบมาเพื่อจับเจตนาของลูกค้าที่หลากหลาย ตั้งแต่การท่องเว็บอย่างไม่เป็นทางการไปจนถึงพฤติกรรมที่พร้อมจะซื้อ ซึ่งทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพในการสร้างการรับรู้แบรนด์และการเลี้ยงดูศักยภาพลูกค้าในระยะยาว
ในทางกลับกัน Google Ads มุ่งเน้นไปที่การกำหนดเป้าหมายผู้ใช้ที่มีเจตนาสูงซึ่งกำลังค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะเจาะจง ความมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองโดยตรงนี้ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงผู้ใช้ที่มีเจตนาซื้อชัดเจน ส่งผลให้เกิดการแปลงทันที
5. การขยายขนาด
Facebook Ads ง่ายต่อการขยายด้วยการปรับงบประมาณที่ยืดหยุ่น ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่และอำนวยความสะดวกในการเติบโตอย่างไร้รอยต่อ แต่การขยาย Google Ads จำเป็นต้องมีการวางแผนเชิงกลยุทธ์และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการแข่งขันของคำค้นหา ทำให้การคาดการณ์ต้นทุนซับซ้อนมากขึ้น
6. สร้างสรรค์
Facebook Ads รองรับรูปแบบภาพที่น่าสนใจ เช่น วิดีโอและภาพหมุน ซึ่งเหมาะสำหรับการเล่าเรื่องและการสร้างแบรนด์ ตัวเลือกการสร้างสรรค์เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจดึงดูดความสนใจและสื่อสารข้อความได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในทางกลับกัน Google Ads มีข้อกำหนดเชิงสร้างสรรค์ที่แตกต่างกันไปตามตำแหน่ง ในขณะที่โฆษณาการค้นหาต้องการข้อความที่น่าสนใจเพื่อกระตุ้นการคลิก โฆษณาแบบดิสเพลย์และ YouTube ต้องการภาพที่ดึงดูดความสนใจเพื่อให้โดดเด่น
การคาบเกี่ยวกันของการระบุแหล่งที่มาระหว่าง Google Ads และ Facebook Ads เกิดขึ้นได้อย่างไร?
การทำความเข้าใจว่าการระบุแหล่งที่มาระหว่าง Google Ads และ Facebook Ads คาบเกี่ยวกันอย่างไรใน eCommerce เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการติดตามประสิทธิภาพและการจัดสรรงบประมาณที่แม่นยำ
การคาบเกี่ยวกันของการระบุแหล่งที่มาเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองแพลตฟอร์มอ้างสิทธิ์ความดีความชอบสำหรับการแปลงที่เหมือนกัน ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลการแปลงบิดเบือนได้
สมมติว่าคุณกำลังมองหารองเท้าคู่ใหม่ คุณค้นหา "รองเท้าวิ่ง" ใน Google คลิกที่โฆษณา เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ และอาจจะเพิ่มรองเท้าในรถเข็นของคุณแต่ไม่ทำการซื้อให้เสร็จสมบูรณ์
ต่อมาเมื่อคุณใช้ Facebook คุณเห็นโฆษณาการติดตามอีกครั้งสำหรับรองเท้าคู่เดิม คราวนี้คุณคลิกโฆษณาและทำการซื้อสำเร็จ
ทั้ง Google และ Facebook จะอ้างสิทธิ์การแปลงนี้ แต่ใครควรได้รับเครดิต?
Facebook ใช้โมเดลการระบุแหล่งที่มาคลิกสุดท้าย ซึ่งหมายความว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาครั้งสุดท้ายก่อนการซื้อจะได้รับเครดิต หากคุณคลิกโฆษณา Facebook เป็นครั้งสุดท้าย มันจะได้รับเครดิตสำหรับการแปลงนี้ อย่างไรก็ตาม Google Ads มีหลายโมเดลการระบุแหล่งที่มา รวมถึงโมเดลที่ให้เครดิตบางส่วนกับทุกการปฏิสัมพันธ์ในระหว่างการเดินทางของลูกค้า สิ่งนี้อาจนำไปสู่ "การระบุแหล่งที่มาซ้ำซ้อน" ที่ทั้งสองแพลตฟอร์มรายงานการแปลงเดียวกัน
แต่ทำไมการคาบเกี่ยวกันของการระบุแหล่งที่มาจึงเกิดขึ้น?
การคาบเกี่ยวกันนี้เกิดขึ้นเพราะ Facebook และ Google มีช่วงเวลาการรายงานที่แตกต่างกัน
Facebook จะระบุการแปลงหากมีคนคลิกโฆษณาของคุณและทำการแปลงภายใน 7 วัน หรือดูโฆษณาของคุณและทำการแปลงภายใน 1 วัน
Google จะระบุการแปลงหากมีคนคลิกโฆษณาของคุณและทำการแปลงภายใน 30 หรือ 90 วัน
ซึ่งหมายความว่าการซื้อครั้งเดียวสามารถถูกอ้างสิทธิ์โดยทั้งสองแพลตฟอร์ม หากการแปลงนั้นเกิดขึ้นภายในช่วงเวลาการระบุแหล่งที่มาของพวกเขา
นอกจากนี้ การแปลงที่เกิดจากการดูผ่าน (view-through conversions) ยังเพิ่มความซับซ้อนอีกขั้น
Facebook อาจอ้างสิทธิ์การแปลงหากมีคนเพียงแค่เห็นโฆษณาและต่อมาเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณเพื่อทำการซื้อ หากสิ่งนี้เกิดขึ้นภายในวันเดียวกัน และผู้ใช้ยังได้คลิกโฆษณา Google ทั้งสองแพลตฟอร์มจะบันทึกการแปลงนี้
ยิ่งไปกว่านั้น อาจมีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้กลับมาดูหน้าการยืนยันคำสั่งซื้ออีกครั้ง ทำให้การแปลงถูกนับหลายครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ทำให้การวิเคราะห์และการตัดสินใจซับซ้อนขึ้น
การเข้าใจความซับซ้อนเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจ eCommerce เพื่อหลีกเลี่ยงการประมาณค่าการแปลงที่สูงเกินไป และการจัดสรรงบประมาณการตลาดไปยังช่องทางที่ไม่ถูกต้อง
วิธีหลีกเลี่ยงการระบุแหล่งที่มาที่คาบเกี่ยวกันระหว่าง Google และ Facebook Ads?
การหลีกเลี่ยงการระบุแหล่งที่มาที่คาบเกี่ยวกันระหว่าง Google Ads และ Facebook Ads เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการติดตามผลลัพธ์ที่แม่นยำและการจัดสรรงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ
นี่คือกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้คุณทำได้:
1. เข้าใจเส้นทางการเดินทางของลูกค้า
เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณมักจะทำการแปลงอย่างไร พวกเขาตอบสนองต่อโฆษณาท็อปออฟฟันเนล (TOFU) มากขึ้น ซึ่งมุ่งเน้นที่การสร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วม หรือพวกเขาต้องการโฆษณาบ็อททอมออฟฟันเนล (BOFU) ที่เน้นลูกค้าที่พร้อมจะซื้อ
โฆษณา TOFU ควรถูกวัดผลโดยดูจากการแสดงผลเป็นหลัก เนื่องจากเป้าหมายคือการสร้างความตระหนักรู้ต่อแบรนด์ ในทางตรงกันข้าม โฆษณา BOFU ควรถูกประเมินจากจำนวนการคลิกและการแปลงที่เกิดขึ้น
ด้วยการเข้าใจว่าลูกค้าของคุณเคลื่อนไหวจาก TOFU ไปยัง BOFU อย่างไร คุณจะสามารถระบุแหล่งที่มาของการขายให้กับช่องทางที่ถูกต้องได้ การเข้าใจอย่างละเอียดนี้จะช่วยให้คุณปรับโมเดลการระบุแหล่งที่มาให้สะท้อนถึงผลกระทบที่แท้จริงของแต่ละประเภทของโฆษณา
2. วัดและเปรียบเทียบประสิทธิภาพของช่องทางการตลาด
เมื่อคุณมีภาพที่ชัดเจนของเส้นทางการเดินทางของลูกค้า สิ่งสำคัญคือต้องวัดและเปรียบเทียบประสิทธิภาพของช่องทางการตลาดของคุณ
ติดตามการใช้จ่ายบน Facebook และ Google Ads แล้วคำนวณผลตอบแทนจากการใช้จ่ายโฆษณา (ROAS) สำหรับแต่ละช่องทาง การเปรียบเทียบนี้จะช่วยให้คุณทราบว่าช่องทางใดให้ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่ดีที่สุด
ตัวอย่างเช่น หาก Facebook Ads ให้ ROAS สูงกว่า Google Ads อาจจะเหมาะสมกับเป้าหมายการตลาดของคุณมากกว่า
การตรวจสอบเมตริกเหล่านี้เป็นประจำช่วยให้มั่นใจว่างบประมาณของคุณถูกจัดสรรไปยังช่องทางที่มีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์การตลาดโดยรวมของคุณ
3. ดำเนินการวิเคราะห์การระบุแหล่งที่มาสำหรับ eCommerce
แม้ว่าทั้งสองช่องทางจะแสดง ROAS ที่น่าพอใจ แต่การระบุแหล่งที่มาที่คาบเกี่ยวกันสามารถทำให้ผลลัพธ์เบี่ยงเบนได้
เพื่อจัดการกับปัญหานี้ ให้ทำการวิเคราะห์การระบุแหล่งที่มาโดยใช้แพลตฟอร์มวิเคราะห์ eCommerce เช่น Graas แทนที่จะพึ่งพาข้อมูลจาก Google และ Facebook เพียงอย่างเดียว
เลือกโมเดลการระบุแหล่งที่มาตามวัตถุประสงค์ทางธุรกิจของคุณ ไม่ว่าจะเป็นโมเดลการคลิกครั้งแรก (First-click) การคลิกครั้งสุดท้าย (Last-click) หรือโมเดลการแตะหลายครั้ง (Multi-touch)
หากเป้าหมายของคุณคือการสร้างการรับรู้แบรนด์ โมเดลการคลิกครั้งแรกอาจเหมาะสมมากกว่า ในทางตรงกันข้าม หากเป้าหมายหลักของคุณคือการกระตุ้นยอดขาย โมเดลการคลิกครั้งสุดท้ายอาจเหมาะสมกว่า
การวิเคราะห์การระบุแหล่งที่มาตามโมเดลที่คุณเลือกจะช่วยให้คุณระบุได้ว่าช่องทางใดมีประสิทธิภาพมากกว่าสำหรับความต้องการของคุณ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและสามารถนำไปปฏิบัติได้มากขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการตลาดที่ดีที่สุดของธุรกิจ eCommerce ของคุณด้วยการระบุแหล่งที่มาที่แม่นยำ
เมื่อคุณเข้าใจ ความท้าทายของการระบุแหล่งที่มาของ eCommerce และวิธีที่มันสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่บิดเบือนได้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องกำหนดกระบวนการเพื่อให้มองเห็นประสิทธิภาพได้อย่างถูกต้อง
การระบุแหล่งที่มาที่แม่นยำเป็นสิ่งจำเป็นในการระบุผลกระทบที่แท้จริงของแต่ละช่องทางการตลาดต่อยอดขายและการเติบโตของธุรกิจโดยรวม
ด้วยเครื่องมือ eCommerce ที่เหมาะสม คุณสามารถมั่นใจได้ว่าการขายแต่ละครั้งจะถูกระบุไปยังช่องทางเดียวเท่านั้น การระบุที่แม่นยำนี้ช่วยให้คุณกำหนดได้ว่าช่องทางการตลาดใดมีประสิทธิภาพดีที่สุดและช่องทางใดที่ต้องปรับปรุง โดยการได้รับข้อมูลเชิงลึกที่ชัดเจนเกี่ยวกับช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและช่องทางที่มีประสิทธิภาพต่ำที่สุด คุณจะสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณ
การตัดสินใจว่าจะจัดสรรงบประมาณเพิ่มไปที่ Facebook Ads หรือ Google Ads จะง่ายขึ้นมากด้วยข้อมูลการระบุแหล่งที่มาที่แม่นยำ วิธีการนี้ช่วยให้กลยุทธ์มีความสมดุล ซึ่งไม่เพียงแต่จะกระตุ้นให้เกิดการแปลง (Conversion) แต่ยังคงรักษาระดับการรับรู้แบรนด์ที่เหมาะสม
ในท้ายที่สุด สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเพิ่ม ROI ทางการตลาดและบรรลุการเติบโตอย่างยั่งยืน
จองการสาธิตกับ Graas วันนี้ และค้นพบว่าเครื่องมือวิเคราะห์ eCommerce ขั้นสูงของเราสามารถช่วยคุณระบุช่องทางที่ดีที่สุดด้วยการระบุแหล่งที่มาที่แม่นยำได้อย่างไร
Comments