
ยอดขายสูงสุดในช่วงเทศกาลสำคัญมักเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของแคมเปญ
อย่างไรก็ตาม การมุ่งเน้นเพียงช่วงพีคของยอดขาย อาจทำให้แบรนด์พลาดโอกาสสำคัญในการวางรากฐานในช่วง Non-campaign Season และสร้างกระแสรายได้ที่มั่นคงตลอดทั้งปี
การพัฒนา กลยุทธ์การตลาด สำหรับทั้งช่วงแคมเปญและ Non-campaign Season เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ธุรกิจยังคงมีกำไร
ในบล็อกนี้ คุณจะได้สำรวจความสำคัญของการมีกลยุทธ์การตลาดทั้งในช่วงพีคและช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลแคมเปญ รวมถึงองค์ประกอบสำคัญที่ควรมี
กลยุทธ์ช่วง Campaign Season
ผู้บริโภคมีแนวโน้มตอบรับแคมเปญโปรโมชั่นมากขึ้นในช่วงวันหยุดและฤดูกาลพีค การปรับ กลยุทธ์การตลาด และความพยายามทางโปรโมชั่นให้สอดคล้องกับแนวโน้มตามฤดูกาลช่วยเพิ่มยอดขายและการมีส่วนร่วม
นี่คือ 2 ขั้นตอนที่ช่วยให้ช่วง Campaign Season ทำกำไรได้มากขึ้น:
1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาดให้สูงสุด
การใช้โอกาสจากวันหยุดและอีเวนต์พิเศษหมายถึงการสร้างแคมเปญที่ตรงเป้าหมายสูง (Hyper-targeted) เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มตอบรับข้อความทางการตลาดของคุณมากขึ้น
สามช่องทางการตลาดสำคัญที่ช่วยยกระดับการตลาดช่วงพีคซีซั่น ได้แก่:
Email marketing
อีเมลเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหญ่ในช่วง High Season
Tip: เพิ่มประสิทธิภาพ Email Marketing โดยวิเคราะห์แคมเปญอีเมลจากช่วงวันหยุดปีก่อน เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับปีปัจจุบัน เช่น วิเคราะห์ว่าวันไหนมีอัตรา Conversion สูงสุด, กลุ่มเป้าหมายใดมี Engagement มากที่สุด และเทคนิคการเขียนข้อความที่ใช้ข้อมูลสนับสนุน เช่น การวาง CTA, การสร้างความเร่งด่วน, และข้อเสนอเฉพาะทาง
Social media marketing
โซเชียลมีเดียช่วยโปรโมตข้อเสนอได้หลากหลาย ตั้งแต่กระตุ้นให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำ ไปจนถึงดึงดูดลูกค้าใหม่ โดยแพลตฟอร์มโซเชียลช่วยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย
Tip: แทนที่จะทำการตลาดบนทุกแพลตฟอร์ม ให้วิเคราะห์ว่ากลุ่มลูกค้าของคุณมีแนวโน้มใช้งานแพลตฟอร์มใดมากที่สุด และดูว่าประเภทคอนเทนต์ไหนได้ Engagement สูงสุด
Paid advertising
แคมเปญโฆษณาแบบชำระเงินช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นด้วยข้อความที่ตรงจุด เช่น การปรับแต่งโฆษณาให้เหมาะกับกลุ่มประชากรเป้าหมาย เช่น โปรโมชั่นตามฤดูกาลสำหรับครอบครัว
Tip: ใช้ eCommerce analytics tool เพื่อวิเคราะห์ว่าโฆษณาแบบใดทำผลงานได้ดีที่สุดจากแคมเปญในซีซั่นก่อน
2. ปรับแต่งเว็บไซต์ให้รองรับปริมาณ Traffic สูง
ในช่วง Peak Season, ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามโปรโมชั่น, การเลือกดูสินค้า, การเพิ่มลงตะกร้า, การคืนสินค้า ฯลฯ ซึ่งอาจพุ่งสูงกว่าปกติ
มีการศึกษาพบว่า 57% ของผู้ใช้จะออกจากเว็บไซต์หากใช้เวลาโหลดเกิน 3 วินาที
การปรับแต่งเว็บไซต์ล่วงหน้าก่อนถึงช่วงพีคซีซั่น โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้มือถือ จะช่วยลดปัญหาการละทิ้งตะกร้าสินค้า และมอบประสบการณ์การซื้อที่ราบรื่นให้กับลูกค้า
Tip: วิเคราะห์ช่วงเวลาที่เว็บไซต์ของคุณมี Traffic สูงสุด เนื่องจากมักจะมีรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำในช่วงพีคซีซั่น การตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์อย่างละเอียด (Website Performance Audit) จะช่วยให้คุณเตรียมรับมือกับการพุ่งขึ้นของ Traffic และแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การปรับขนาดรูปภาพให้เหมาะสม, ลดโฆษณา Pop-up ที่รบกวน, และเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ เพื่อป้องกันการสูญเสียลูกค้าในนาทีสุดท้าย
กลยุทธ์ช่วง Non-promotional Period
แนวโน้มผู้บริโภคในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาชื่นชอบการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับครอบครัวและเพื่อนตลอดทั้งปี ไม่ใช่แค่ช่วงวันหยุด นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ แบรนด์ eCommerce ในการโปรโมตประสบการณ์นอกเหนือจากช่วงเวลาที่คึกคักที่สุด
ช่วง Off-season หรือ Non-promotional Period เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการฟื้นฟู Brand Awareness ดังนั้น นี่คือ 5 เคล็ดลับ ในการรักษารายได้ให้คงที่ในช่วง Off-season:
1. สร้าง Brand Awareness และ Engagement (TOFU Metrics)
ในช่วง Peak Campaign Season, อาจต้องให้ความสำคัญกับการขายเป็นหลัก จนทำให้การสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ลดลง
ดังนั้น ช่วง Non-promotional Period หรือช่วงที่ยอดขายชะลอตัว จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการกลับมาสร้าง Brand Awareness, การมีส่วนร่วมของลูกค้า (Customer Engagement) และกลยุทธ์ Top-of-the-Funnel (TOFU) อื่นๆ เช่น เพิ่มการเข้าถึงบนโซเชียลมีเดียและเพิ่ม Traffic บนเว็บไซต์
กลยุทธ์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการ โน้มน้าวพฤติกรรมผู้บริโภค และ เตรียมความพร้อมสำหรับ Campaign Season ในอนาคต
ตัวอย่างเช่น สร้างคอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับหัวข้อที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ และ กระตุ้น Engagement บนโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่
2. กระจายสินค้า ทดสอบตลาดใหม่ หรือโฆษณาบนช่องทางที่แตกต่าง เพื่อขยายการเข้าถึง
การ กระจายสินค้า (Diversify Offerings) หรือ ทดสอบตลาดใหม่ (New Market Segments) เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการลดการพึ่งพาแหล่งรายได้เพียงช่องทางเดียว
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ eCommerce ที่ขายเสื้อผ้าตามฤดูกาล เช่น เสื้อกันหนาว อาจเพิ่มสินค้าที่เสริมกัน เช่น เสื้อผ้าสำหรับการเลเยอร์ (Layering Essentials), เครื่องประดับหน้าหนาว หรือ ของตกแต่งบ้าน ที่สามารถดึงดูดลูกค้าได้ตลอดทั้งปี
วิธีนี้ช่วยให้แบรนด์สามารถ รักษาการมีส่วนร่วมของลูกค้า (Customer Engagement) และ รักษายอดขายให้ต่อเนื่องในทุกซีซั่น ลดความเสี่ยงจากรายได้ที่ลดลงในช่วง Off-season
อีกทางเลือกหนึ่งคือ ขยายช่องทางโฆษณา ไปยังแพลตฟอร์มที่อาจไม่ได้ใช้ในช่วง Campaign Season เพื่อเพิ่มการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มที่เน้นการสนทนา เช่น Reddit หรือ Quora ซึ่งเป็นที่ที่กลุ่มเป้าหมายของคุณอาจใช้เวลาอยู่
3. การรักษาลูกค้าด้วย Loyalty Program และกลยุทธ์ Personalized Marketing
ฐานลูกค้าประจำเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ SMBs และ Startups การเสนอส่วนลดพิเศษช่วง Off-season และ Loyalty Program ที่ให้รางวัลแก่ลูกค้าประจำในช่วงที่ยอดขายชะลอตัว จะช่วยสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและสร้างกลยุทธ์การรักษาลูกค้าที่มีประสิทธิภาพตลอดทั้งปี
ตัวอย่างเช่น การสร้าง Loyalty Program ที่ให้คะแนนสะสมจากทุกการซื้อ และสามารถนำมาแลกของรางวัล หรือการเสนอของแถมสำหรับลูกค้าที่ซื้อซ้ำต่อเนื่อง
กลยุทธ์การตลาดแบบ Personalized เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า ลูกค้าชื่นชอบประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์และตรงกับความต้องการของพวกเขา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ธุรกิจต้องวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต เช่น พฤติกรรมการซื้อออนไลน์ ความสนใจ และความชอบของลูกค้า
ตัวอย่างเช่น การเสนอส่วนลดพิเศษเฉพาะบุคคลในช่วง Non-promotional Season โดยอ้างอิงจากสินค้าที่ลูกค้าเคยดู หรือสินค้าที่ถูกเพิ่มลงในตะกร้าแต่ถูกละทิ้ง
กลยุทธ์โปรโมชั่น - Limited-time, Bundle Deals, Free Shipping
4. Strategic Promotions มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อของลูกค้าโดยสร้างแรงจูงใจทางจิตวิทยา
การใช้ช่วง Non-campaign Season เป็นโอกาสในการสร้างความเร่งด่วนในการตัดสินใจซื้อ ด้วยดีลพิเศษสำหรับสินค้าที่ลูกค้าสนใจมากที่สุด หรือสินค้าที่ขายดี
ตัวอย่างเช่น การเสนอ Limited-time Deals เช่น ซื้อ 2 แถม 1 ส่วนลด Early Bird สำหรับการซื้อล่วงหน้า หรือ Bundle Deals ที่เป็นการขายสินค้าเป็นชุดเพื่อเพิ่มมูลค่าต่อออเดอร์
การจัดโปรส่งฟรีไม่มีขั้นต่ำสำหรับวันพิเศษ เช่น จัดโปรโมชั่นส่งฟรีในช่วงกลางสัปดาห์ที่ยอดขายต่ำก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยกระตุ้นยอดขาย
การใช้กลยุทธ์ Bundled Deals ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังเป็นโอกาสให้ลูกค้าได้ลองใช้สินค้าที่พวกเขาอาจไม่ได้พิจารณามาก่อน ขณะที่ Free Shipping ช่วยเพิ่มความพึงพอใจและกระตุ้นการสั่งซื้อทันที
สรุป
ช่วง Non-campaign Season เป็นโอกาสสำคัญในการสร้าง Brand Awareness และขยายธุรกิจ แต่หลายธุรกิจ eCommerce มักให้ความสำคัญกับช่วง Campaign Season ที่เน้นการลดราคาและโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายเป็นหลัก
แม้ว่ากลยุทธ์ส่งเสริมการขายจะช่วยเพิ่มยอดขายแบบเร่งด่วน แต่หากละเลยช่วง Non-promotional Season อาจทำให้พลาดโอกาสในการสร้าง Customer Loyalty และรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว
การใช้ กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-driven) และให้ความสำคัญกับลูกค้า (Customer-centric) จะช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนทั้งช่วง Campaign และ Non-campaign ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ให้ข้อมูลเป็นตัวนำทางในการตัดสินใจทำแคมเปญ ด้วยโซลูชันจาก Graas - ทดลองใช้ Graas ฟรี 30 วัน!
Comments